นักศึกษาจบใหม่ อยากหางานทำ ควรทำอย่างไร

นักศึกษาจบใหม่ อยากหางานทำ ควรทำอย่างไร

การหางานหลังจากเรียนจบเป็นขั้นตอนที่สำคัญ นี่คือบางขั้นตอนที่อาจช่วยคุณในการหางาน

ทำเรซูเม่ (Resume) ที่น่าสนใจ : สร้างเรซูเม่ที่เน้นไปที่ความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานที่คุณสนใจ รวมถึงประสบการณ์ทำงาน (ถ้ามี) และการศึกษาที่เกี่ยวข้อง

ค้นหางานที่เหมาะสม : ใช้เว็บไซต์หางานออนไลน์ เช่น Indeed, Glassdoor, JobsDB หรือ LinkedIn เพื่อค้นหาตำแหน่งงานที่เข้ากับความสามารถและความสนใจของคุณ

สร้างโปรไฟล์ออนไลน์ : สร้างโปรไฟล์บน LinkedIn เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดต่อกับนายจ้างและเพื่อทำความรู้จักกับผู้คนในวงการที่คุณสนใจ

ส่งใบสมัคร : ส่งใบสมัครพร้อมเรซูเม่ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้นๆ อย่าลืมตรวจสอบข้อความและข้อผิดพลาดก่อนส่ง

เตรียมตัวสำหรับสัมภาษณ์ : ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและตำแหน่งงานที่คุณสนใจ และฝึกการตอบคำถามสัมภาษณ์ทั้งทางด้านเทคนิคและด้านบุคลิกภาพ

เรียนรู้จากประสบการณ์ : หากไม่สามารถได้งานที่ต้องการตรงๆ พยายามทำงานอาสาหรือฝึกงานเพื่อเพิ่มประสบการณ์และเรียนรู้เพิ่มเติม

รักษาความมุ่งมั่นและอดทน : การหางานอาจใช้เวลาและความพยายามมาก อย่าเพิ่งท้อถอยหลังเจอปัญหา รักษาความมุ่งมั่นและพยายามอย่างต่อเนื่อง

เชื่อมต่อกับเครือข่าย : ติดต่อกับเพื่อนร่วมโรงเรียนหรือครอบครัว เข้าร่วมกลุ่มอาชีพ หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพที่คุณสนใจ เพื่อเสริมสร้างเครือข่าย

การหางานอาจเป็นกระบวนการที่อึดอัดและเร้าใจบ้าง แต่อย่าละเลยความมุ่งมั่นและความอดทน เมื่อคุณพยายามอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่ดีก็จะมาหาคุณในที่สุด

แนะนำอาหารแมวแต่ละช่วงวัย เพื่อสุขภาพเจ้าเหมียวสมบูรณ์แข็งแรง

แนะนำอาหารแมวแต่ละช่วงวัย เพื่อสุขภาพเจ้าเหมียวสมบูรณ์แข็งแรง

แมว คือสัตว์เลี้ยงชนิดหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือสัตว์เลี้ยงยอดนิยมอันดับต้น ๆ เพราะนอกจากเจ้าเหมียวจะช่วยให้คนเลี้ยงรู้สึกเพลิดเพลินแล้ว การมีแมววิ่งเล่นในบ้านยังช่วยให้คลายเครียด บรรยากาศในบ้านผ่อนคลายเพราะความออดอ้อนและพฤติกรรมน่ารัก ๆ ของเจ้าเหมียว แต่หากต้องการให้เจ้าเหมียวอยู่กับเราไปนาน ๆ การให้น้องทานอาหารอิ่มท้องทุกมื้ออาจไม่ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพสักเท่าไหร่ ถ้าจะให้ดีต้องเลือกอาหารเหมาะกับช่วงวัย ตอบโจทย์ความต้องการของร่างกายเจ้าเหมียวในช่วงอายุนั้น ๆ 

แนะนำอาหารแมวแต่ละช่วงวัย เพื่อสุขภาพเจ้าเหมียวสมบูรณ์แข็งแรง

– ลูกแมว

เมื่อลูกแมวลืมตาดูโลก แน่นอนว่าอาหารที่เหมาะกับลูกแมวมากที่สุดคือนมแม่ ซึ่งลูกแมวควรทานนมแม่จนอายุ 4-6 สัปดาห์ จากนั้นจึงค่อย ๆ เปลี่ยนให้มาทานอาหารแบบเปียก เน้นอาหารที่มีส่วนผสมของโปรตีนที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยในการเจริญเติบโต รวมถึงส่วนผสมประเภทแคลเซียม ฟอสฟอรัส และ DHA ซึ่งเหมาะกับช่วงวัยที่มีการเจริญเติบโตรวดเร็วที่สุด

– แมวโตเต็มวัย

แมวโตเต็มวัยเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 7-12 เดือน แมวช่วงวัยนี้จะมีความกระตือรือร้น ไม่อยู่นิ่ง เรียกง่าย ๆ คือค่อนข้างซน จึงเป็นวัยที่ต้องใช้พลังงานเยอะ สามารถให้อาหารได้ทั้งอาหารเม็ดและอาหารแบบเปียก แต่เน้นที่สารอาหารประเภทโปรตีนที่ช่วยให้พลังงาน สร้างกล้ามเนื้อ และโอเมก้า – 3 ช่วยเรื่องการมองเห็น ช่วงวัยนี้แนะนำให้ทาสแมวสังเกตด้วยว่าเจ้าเหมียวน้ำหนักเกินหรือไม่จะได้ปรับเปลี่ยนปริมาณอาหารได้ทันที เพราะหากปล่อยให้อ้วนจะส่งผลต่อสุขภาพในอนาคต

– แมวสูงอายุ

หากเจ้าเหมียวอายุ 7 ปีขึ้นไป จัดว่าเป็นแมวสูงอายุ โดยแมวสูงวัยมักมีอาการเฉื่อยชามากขึ้น เคลื่อนไหวน้อยลง ระบบการเผาผลาญในร่างกายจึงลดลงตามไปด้วย แมวสูงอายุจึงไม่ต้องทานอาหารปริมาณมากเท่าแมวโตเต็มวัย แต่เน้นสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะโปรตีนเพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อ ไฟเบอร์ช่วยเรื่องการขับถ่าย รวมถึงแคลเซียมและฟอสฟอรัสช่วยเรื่องระบบและข้อที่เสื่อมสภาพไปตามวัย

– แมวตั้งครรภ์

เจ้าเหมียวบ้านไหนที่กำลังจะมีสมาชิกใหม่ เหล่าทาสแมวต้องดูแลเป็นพิเศษด้วยการเพิ่มอาหารประเภทแคลเซียมและโปรตีน เพราะแม่แมวต้องตุนสารอาหารเผื่อลูกน้อยในครรภ์ นอกจากนี้ ช่วงใกล้คลอดควรงดกิจกรรมที่อาจเกิดแรงกระแทก ควรจัดสภาพแวดล้อมให้แม่แมวพักผ่อนอย่างสบายใจ ไม่เครียด 

นอกจากการดูแลสุขภาพเจ้าเหมียวด้วยการให้อาหารที่เหมาะสมกับช่วงวัยแล้ว เหล่าทาสแมวทั้งหลายยังต้องดูแลสุขภาพลูกรักด้วยการพาเจ้าเหมียวไปฉีดวัคซีนทุกปี รวมถึงตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับแมวสูงวัยที่มีโอกาสเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย เพื่อให้สุขภาพเจ้าเหมียวสมบูรณ์แข็งแรงและอยู่กับเราไปนาน ๆ 

ภาษีความหวาน ผลักธุรกิจเครื่องดื่มแห่ปรับเพิ่มราคา

ภาษีความหวาน ผลักธุรกิจเครื่องดื่มแห่ปรับเพิ่มราคา

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาน้ำตาลและสารให้ความหวานมักถูกเติมลงในขนมและไอศกรีมเพื่อให้มีความหวานมากขึ้น การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานมากเกินไปเป็นอันตรายต่อสุขภาพตั้งแต่หัวจรดเท้า เสี่ยงเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไปจนถึงฟันผุเหงือกอักเสบ เป็นเหตุให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีความหวานกับธุรกิจเหล่านี้ช่วยให้คนทุกเพศวัยลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูงส่งผลเสียต่อร่างกาย 

การเปลี่ยนจากน้ำตาลมาเป็นสารให้ความหวานเพื่อให้อาหารและเครื่องดื่มแบบบรรจุกล่องและขวดมีรสหวานถือเป็นเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้ปานกลาง เช่น จีน อินเดีย แต่กลับลดลงในประเทศที่มีรายได้สูง เช่น ออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา สาเหตุจากพฤติกรรมการบริโภคนี้เองทำให้ผู้ป่วยโรคเหล่านี้มีมากขึ้นและเกิดกับคนอายุน้อยลง ในส่วนของคนไทยเองบริโภคน้ำตาลมากถึง 20 ช้อนชาต่อวัน ถือว่าสูงมากจากเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดที่ 6 ช้อนชาเท่านั้น ส่งผลให้คนไทยหลายล้านคนป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคอื่นๆ ที่กระทบต่อสุขภาพต้องรักษาไปตลอดชีวิต

ด้วยเหตุนี้ กรมสรรพสามิตของไทยพยายามแก้ปัญหาด้วยการจัดเก็บภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาล ใน พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นมาตรการภาษีที่ช่วยสร้างสุขภาพที่ดีให้คนไทยและกำลังจะเดินหน้าเข้าสู่ระยะที่ 3 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2566 จนถึง 31 มีนาคม 2568 มีอัตราภาษีเพิ่มขึ้นและจะมีการปรับขึ้นเป็นอัตราก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ทุก 2 ปี สำหรับรายละเอียดของการปรับเพิ่มภาษีมีผลกระทบต่อธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไม่ใช่น้อย มาติดตามรายละเอียดกันเลย

ปริมาณน้ำตาล 0-6 กรัม คิดอัตราภาษี 0 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 0 บาทต่อลิตร

ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 0.3 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 0.1 บาทต่อลิตร

ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 0.3 บาทต่อลิตร

ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 1 บาทต่อลิตร

ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 3 บาทต่อลิตร

ปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 5 บาทต่อลิตร

หลังการปรับเพิ่มภาษีความหวาน ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มย่อมต้องได้รับผลกระทบไม่น้อย จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อไม่ให้เสียภาษีเพิ่ม แม้ว่าเครื่องดื่มน้ำตาลน้อยกำลังมีมากขึ้น แต่ก็มีผู้ผลิตรายใดที่ลดปริมาณน้ำตาลลงไม่ได้และมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องดื่มที่มีสารความหวาน 14-18 กรัมต่อลิตร จะเสียภาษีเพิ่มจาก 3 บาท เป็น 5 บาทต่อลิตร 

ในเมื่อคนไทยปรับพฤติกรรมการกินไม่ได้ เคยชินกับเครื่องรสหวานจัด  ดื่มเวลาอากาศร้อนแล้วเย็นชื่นใจ ธุรกิจเครื่องดื่มที่แบกรับภาษีความหวานไม่ไหวย่อมต้องผลักภาระมาที่ผู้บริโภคตามเคย หลายรายประกาศปรับราคาเครื่องดื่มสำเร็จรูปหลายเมนู ด้วยเหตุผลเรื่องราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและสาเหตุจากภาษีความหวานด้วยนั่นเอง

ชวนอ่าน “เพชรพระอุมา” สุดยอดวรรณกรรมประจำชาติ

ชวนอ่าน “เพชรพระอุมา” สุดยอดวรรณกรรมประจำชาติ

สำหรับคอหนังสือสายวรรณกรรม นวนิยาย คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันมากมาย สำหรับ “เพชรพระอุมา” สุดยอดนวนิยายเรื่องยาว แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยสัมผัสก็ต้องบอกว่า “อย่าทำเรื่องผิดพลาดที่สุดในชีวิตนักอ่านเลย” หากจะยังคงเพิกเฉยกับหนังสือคู่บ้าน วรรณกรรมคู่เมืองเรื่องนี้

เพชรพระอุมา เป็นนวนิยายที่ประพันธ์โดย คุณฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ เจ้าของนามปากกา พนมเทียน ซึ่งได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2540 เป็นนวนิยายที่ใช้เวลาเขียนยาวที่สุด เนื้อหาของเรื่องก็ยาวที่สุด อาจที่สุดในบรรดานวนิยายที่เขียนกันมาแล้วในประเทศไทย แต่ถึงยาวนาน มากมายขนาดนี้ ก็ยังมีผู้หลงใหลตามอ่าน ทุกยุคทุกสมัย เสมือนเป็นนวนิยายที่กาลเวลามิอาจทำอะไรได้

ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ หรือ พนมเทียน เริ่มเขียนเพชรพระอุมา เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2507 จนถึงเดือนมิถุนายน ปี 2533 จบบริบูรณ์ 2 ภาค 48 เล่ม (ภาคละ 24 เล่ม) เนื้อหามี 12 ตอน (ภาคละ 6 ตอน) นั่นหมายความว่าเขาใช้เวลาเขียนทั้ง 25 ปี 7 เดือน 

โดยเนื้อหาย่อ ๆ แบบภาพรวมพล๊อตของนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมา ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด ตรงกันข้ามมันเต็มไปด้วยพล๊อตทั่ว ๆ ไปแบบนิยายน้ำเน่า ประโลมโลก

พระเอกเป็นคนต่ำศักดิ์ แต่นางเอกเป็นหญิงผู้สูงศักดิ์ พระเอกเป็นสุภาพบุรุษ ยากไร้ แต่คนดี หยิ่ง ทะนงในความดี เจอนางเอกแรก ๆ ไม่ถูกกัน ทะเลาะกัน ไป ๆ มา ๆ เห็นอกเห็นใจกัน หยั่งซึ้งในความดีกันและกันจนกลายเป็นความรัก หรือเรื่องราวสุดคลาสสิกประเภทลูกกษัตริย์ตกอับ ปลอมตัวมาเป็นคนใช้เพื่อไปกอบกู้บัลลังก์ รวมทั้งประเภทชาติที่แล้วเป็นเจ้าชายเจ้าหญิง แต่ประสบชะตากรรม ต้องเกิดมาชดใช้เวรกรรมในชาติปัจจุบันก่อน จึงจะได้ครองคู่กัน

แต่สิ่งที่ทำให้ เพชรพระอุมา แตกต่างและโดดเด่น ก็คือ อัจฉริยภาพของผู้ประพันธ์ในการดำเนินเรื่อง การผูกปมปัญหา การแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ รอยรัดเรื่องราว และสร้างตัวละครที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ น่าสนใจทุกตัวละคร

รพินทร์ ไพรวัลย์ จอมพรานผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ช่ำชองในวิชาพราน มีคุณธรรม เป็นสุภาพบุรุษ แม้อดีตจะประสบชะตากรรมชีวิตทั้งด้านการงานและความรัก คุณหญิงดาริน แพทย์หญิงนักแม่นปืน ผู้เลอโฉม เย่อหยิ่งเอาแต่ใจ หากแต่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาอารีต่อเพื่อนมนุษย์ แงซาย จอมจักรา บุรุษผู้งามผู้ลึกลับที่แท้จริงคือองค์รัชทายาทแห่งมรกตนคร ปลอมตัวมาเป็นคนใช้ชาวดงเพื่อหาทางกลับไปทวงราชบัลลังก์ ตาเฒ่าบุญคำ แห่งเขาอึมครึม พรานอาชีพสมุนมือขวาของรพินทร์ ผู้มากไปด้วยไสยเวท และเป็นตัวปล่อยมุขฮา ๆ ประจำเรื่อง คุณชายเชษฐา อดีตทูตทหารบกผู้เป็นพี่ใหญ่ของคณะ ผู้เต็มไปด้วยสุขุม คัมภีรภาพ พันตรีไชยยันต์ อดีตนายทหารปืนใหญ่ ผู้รักเพื่อนยิ่งชีพ บุรุษที่ปากตรงกับใจเสมอ ไอ้กุด เสือกินคน ไอ้แหว่ง ช้างเกเรที่ฉลาดเท่ามนุษย์ งูยักษ์คู่ ที่ลำตัวใหญ่เท่ารถไฟ ฯลฯ มีทุกรสชาติบรรจุอยู่ในเนื้อหาของนวนิยายเรื่องนี้

ใครที่ได้เปิด เพชรพระอุมา อ่านแล้ว ทุกคนจะมีอาการเหมือนกัน ก็คือ “วางไม่ลง”

ไม่เชื่อต้องลองดู ลองหยิบ เพชรพระอุมา ขึ้นมาอ่าน เล่มไหนก็ได้ ตอนไหนก็ได้ ท่านจะได้เผชิญสถานการณ์ของการ “วางไม่ลง” จากนั้นก็ไปตามหาเล่มอื่น ๆ มาหาจนครบอย่างแน่นอน

ฝันว่าตั้งครรภ์เป็นนิมิตดีหรือไม่ มีคำตอบที่นี่

ฝันว่าตั้งครรภ์เป็นนิมิตดีหรือไม่ มีคำตอบที่นี่

โดยปกติคนเราจำเป็นต้องนอนหลับพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายจิตใจ ให้พร้อมกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างแจ่มใสในเช้าวันถัดไป และบางครั้งในช่วงของการนอนหลับเราก็จะฝัน ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์นั้นกล่าวว่า ความฝันเปรียบเสมือนความทรงจำในจิตใต้สำนึก ที่เรายังคงนึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต และสมองก็จะรวบรวมจัดระเบียบจนกลายเป็นเรื่องราวในความฝันของเรา และถ้าคุณปล่อยวางจิตใจของคุณให้เปิดโล่ง ความฝันก็จะสามารถสร้างแรงพลังขับเคลื่อนจากจิตใต้สำนึก ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ทำนายฝัน “ฝันว่าท้อง ฝันว่าตั้งครรภ์เป็นนิมิตดีหรือไม่” มีคำตอบที่นี่

การทำนายฝันที่เกิดขึ้นจะสามารถสื่อได้ถึงจิตวิญญาณของมนุษย์เราได้เป็นอย่างดี ระหว่างเพศชายและเพศหญิงนั้น การฝันว่าตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นในเพศหญิงมากกว่าตามเพศสภาพ เพราะผู้หญิงจะเป็นเพศที่ตั้งครรภ์ได้ โดยเฉพาะหากคุณพึ่งแต่งงาน และหวังไว้ว่าอยากจะเป็นแม่คน กรณีอย่างนี้จิตใต้สำนึกจะส่งพลังให้คุณฝันว่าตั้งครรภ์ได้ ตามความเชื่อตั้งแต่ครั้งโบราณ ถือว่าการฝันว่าท้องเป็นเรื่องมงคลมาก จะแสดงถึงพลังที่จะชักพาให้คุณพบเจอแต่สิ่งดี ๆ และเกี่ยวข้องกับดวงด้านความสุขในชีวิตอนาคตอันใกล้ ในด้านต่าง ๆ อย่างเช่น 

ดวงด้านความรัก จาก “ฝันว่าตั้งครรภ์” 

การฝันว่าท้องจะสื่อได้ว่า คุณมีดวงด้านความรักที่ดี คู่ชีวิตที่ดี คำมั่นสัญญาในเรื่องความรักของคุณจะยืนยงได้นานเท่านาน นั่นก็เพราะจิตใต้สำนึกของคุณนึกถึงความสัมพันธ์ระยะยาวกับคู่ชีวิต ผ่านการคาดหวังและปรารถนาในการมีทายาท สื่อให้เห็นได้ว่าคุณเชื่อมั่นกับชีวิตคู่ และคู่ชีวิตของคุณ และส่วนลึกในใจของคุณเชื่อมั่นในความรักครั้งนี้ จึงเป็นสัญญาณว่าดวงด้านความรักของคุณจะสดใสราบรื่นนั่นเอง

ดวงด้านการงาน/เงิน จาก “ฝันว่าตั้งครรภ์” 

คำทำนายเรื่องการฝันว่าตั้งครรภ์ในอีกด้านหนึ่ง จะสื่อถึงความสำเร็จด้านการงานการลงทุน โดยเฉพาะถ้าฝันเห็นลูกผู้ชาย ชาวจีนจะเชื่อถือว่าคุณจะประสบความสำเร็จด้านการลงทุน และยังสามารถขยายการลงทุนให้กิจการเติบโตรุ่งเรืองได้อีก เพราะลูกผู้ชายจะมีนัยยะถึงการสืบทอดและสานต่อความมั่งคั่ง สำหรับคนที่ฝันถึงลูกสาว จะสื่อว่ากิจการค้าการลงทุนของคุณจะได้รับการสนับสนุนส่งเสริมเป็นอย่างดี ซึ่งมีนัยยะว่าการค้าการลงทุนของคุณจะประสบความสำเร็จได้ด้วยดีเช่นกัน

ความฝันนั้นมีนัยยะในทางจิตวิญญาณที่ทรงพลัง สามารถสื่อถึงสิ่งที่อยู่ลึก ๆ ภายใต้จิตสำนึกของคนเรา การฝันว่าตั้งครรภ์จึงเป็นนิมิตหมายในเรื่องที่ดีทั้งหมด บางครั้งความฝันก็จะสามารถเป็นแนวทางให้กับชีวิตของคนเราได้ ดังนั้นหากคุณจดจำความฝันของคุณได้ก็จะเป็นประโยชน์มาก สามารถเป็นก้าวแรกในการดึงพลังแห่งจิตใต้สำนึกมาเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จในอนาคตได้เป็นอย่างดี ไม่แน่ว่าด้วยพลังแห่งความฝัน คุณอาจจะร่ำรวยเป็นเศรษฐีสมดังคำทำนาย ประสบความสำเร็จในเรื่องการงาน การเงิน และความรัก จากการฝันว่าท้องก็เป็นได้ ขอให้โชคดี

4 ข้อดีของการมีต้นไม้บนโต๊ะทำงาน ที่มากกว่าความสดชื่น สวยงาม

4 ข้อดีของการมีต้นไม้บนโต๊ะทำงาน ที่มากกว่าความสดชื่น สวยงาม

มนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องทำงานหน้าจอตลอดเป็นเวลานาน ๆ ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเอกสาร หนังสือและการจดบันทึกนัดหมายต่าง ๆ คงเครียดไม่น้อย แต่จะหลีกเลี่ยงอย่างไรเมื่อหน้าที่ความรับผิดชอบเหล่านั้นคือปากท้อง ทางออกที่ดีคือการสร้างบรรยากาศให้หน้าอยู่ ซึ่งต้นไม้นี้เองจะเป็นตัวช่วยที่ดี เป็นทั้งมุมพักสายตา เพิ่มพลังบวก ซึ่งก็มีมีข้อดีอีกมากมายที่ตามมาเมื่อมีต้นไม้สักต้นวางไว้โต๊ะคอม 

  1. มอบอากาศบริสุทธิ์ ถือเป็นข้อดีที่ทำให้หลายคนตัดสินใจเลือกต้นไม้มาวางไว้หน้าจอคอมและก็น่าทึ่งไม่น้อย เมื่อต้นไม้ไซส์จิ๋วจะช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์และดูดซับสารพิษ ซึ่งต้นไม้ชนิดที่พูดถึงได้แก่
  • ลิ้นมังกร เป็นต้นไม้ที่ดูแลไม่ยากและเหมาะปลูกในร่ม
  • เขียวหมื่นปี ทนต่ออากาศแห้งและปลูกในที่ร่มได้ เพราะไม่ชอบแดดจ้ามาก
  • พลูด่าง เป็นต้นที่ปลูกลงดินและใสกระถ่างรากแช่น้ำได้
  • เศรษฐีเรือนใน ดูแลง่ายและเหมาะแก่การปลูกในอาคารหรือที่ร่ม
  1. ทำให้ผ่อนคลายอารมณ์ความเครียด ตามหลักวิทยาศาสตร์การจ้องมองสีเขียวช่วยให้ผ่อนคลายและเป็นการพักสายตาและถนอมดวงตา การเลือกปลูกต้นไม้ไว้หน้าจอคอมพิวเตอร์จึงเป็นผลดี 
  2. เสริมสิริมงคล สร้างพลังบวก นอกจากเรื่องของวิทยาศาสตร์แล้ว อีกศาสตร์ที่คนให้ความสนใจมากก็คือสายมูเตลู เป็นเรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับการส่งเสริมเรื่องความเป็นมงคล ซึ่งก็มีต้นไม้หลากหลายชนิดที่ตรงตามจุดประสงค์ของข้อนี้ มีสายพันธุ์ของต้นไม้ดังนี้ 
  • กระบองเพชร ต้นไม้ยอดนิยมเพราะดูแลง่ายและส่งเสริมในเรื่องของโชคลาภ เงินทองนำพาความมั่นคั่งมาให้แก่ผู้ปลูก
  • ต้นรวยไม่เลิก แค่ชื่อก็เป็นมงคลแล้ว แน่นอนว่าหากปลูกแล้วจะส่งเสริมในเรื่องการเงินให้เด่น 
  • ลิ้นมังกรแคระ เป็นต้นที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันและในเรื่องความเชื่อของสายมูเตลู เชื่อว่าทำให้ชีวิตและครอบครัวพบเจอแต่ความสุข ขับไล่สิ่งอัปมงคลให้ไกลออกไป 
  1. ดูดรังสีอันตรายจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ลดลง ต้นที่จะมาทำหน้าที่นี้ก็คือต้นกระบองเพชร เพราะด้วยเป็นต้นไม้ขนาดเล็กสายพันธุ์ที่เติบโตได้ด้วยแสง จึงจะเติบโตได้นั้นเอง จึงไม่แปลกหากพบเหนต้นไม้ชนิดนี้เยอะกว่าใครเพื่อน 

เมื่อทราบแบบนี้แล้วลองไปหาต้นไม้ไซส์จิ๋วชนิดที่เรากล่าวมาวางไว้บนโต๊ะทำงานกันเถอะ ไม่เพียงให้ความสวยงาม สดชื่นเท่านั้น แต่ยังมีข้อดีในเรื่องของการเสริมมงคล ลดความเครียดและที่น่าสนใจมาก ๆ คือลดรังสีอันตรายและฟอกอากาศให้บริสุทธิ์นั้นเอง

เสริมดวงด้วย ต้นส้มมงคล ปลูกแล้วดี รับทรัพย์ถ้วนหน้า

เสริมดวงด้วย ต้นส้มมงคล ปลูกแล้วดี รับทรัพย์ถ้วนหน้า

รู้หรือไม่ว่า ต้นส้ม เป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการนำโชค เพราะมีความเชื่อกันว่าส้มเป็นผลไม้มงคลที่สามารถช่วยส่งเสริมในเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ และโชคลาภให้ไหลมาเทมาไม่ขาดสายได้ และยิ่งไปกว่านั้นคือจะนำพาแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตด้วย ซึ่งการปลูกต้นส้มนั้นก็ไม่ยากเลยโดยวันนี้เราก็จะบอกถึงบริเวณที่ควรปลูก ต้นส้มมงคล ว่าควรปลูกตรงไหนจึงจะเสริมดวงได้ดีที่สุด

ต้นส้มมงคล ตามความเชื่อของจีน

ตามความเชื่อในศาสตร์ด้านฮวงจุ้ยของคนจีนมีความเชื่อกันว่า ต้นส้มมงคล สามารถดึงดูดทรัพย์สินเงินทองลาภยศและความสงบสุขร่มเย็นให้เข้ามาในบ้านได้ โดยหากต้นส้มออกดอกและผลจำนวนมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งนำมาซึ่งโชคลาภเงินทองแก่ผู้ปลูกเท่านั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่เกิดในปีมะเส็ง ต้นส้มจัดเป็นต้นไม้ที่ช่วยเสริมดวงของคนที่เกิดในปีมะเส็งได้อีกด้วย นอกจากนี้ส้มยังมีความหมายที่ดีเปรียบเหมือนทองคำหรือทรัพย์สมบัติอีกด้วย ชาวจีนจึงนิยมมอบส้มให้แก่กันเพื่อเป็นของขวัญในเทศกาลต่าง ๆ เช่น ในเทศกาลตรุษจีน เป็นต้น

เคล็ดลับการปลูก ต้นส้มมงคล ให้เฮง ๆ ปัง ๆ

• การปลูกต้นส้มไว้ทางเข้าบ้าน

ควรปลูก ต้นส้มมงคล ไว้บริเวณปากทางเข้าบ้าน เพราะมีความเชื่อกันว่าต้นส้มเป็นต้นไม้ที่จะนำพาความเจริญรุ่งเรืองและทรัพย์สินเงินทองมาให้เจ้าของบ้านแบบไม่ทันตั้งตัว และนอกจากนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีแก่เจ้าของบ้านเท่านั้นแต่ยังส่งผลดีกับทุก ๆ คนในครอบครัวเลยล่ะ ซึ่งคนจีนจะเชื่อกันว่าต้นส้มที่มีผลผลิตออกดอกออกผลตรงบริเวณหน้าปากทางเข้าบ้าน จะช่วยส่งเสริมและกระตุ้นในเรื่องของการงานการเงินและยิ่งกว่านั้นก็คือโอกาสดี ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตอีกด้วย

• การปลูกต้นส้มไว้หน้ากิจการร้านค้า

มีความเชื่อกันว่าหากได้ ต้นส้มมงคล ไว้หน้าสถานประกอบกิจการใด ๆ ก็ตามจะทำให้ธุรกิจของคุณพบเจอแต่สำเร็จทำมาค้าขายดีมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง และมีเงินมีงานไหลเข้ามาเทมาไม่ขาดสายส่งผลให้เจ้าของกิจการมีทรัพย์เพิ่มพูนเอ่อล้นไปด้วยเงินทอง นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นยอดขายให้ขายดิบขายดีและยังส่งผลให้มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในธุรกิจของคุณอีกด้วย

และนี่ก็คือเคล็ดลับเสริมดวงด้วยการปลูก ต้นส้มมงคล ให้ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณเฉพาะบุคคลกันด้วย อย่างไรก็ตามหากใครอยากลองปลูกต้นส้มเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลแล้วละก็อย่าลืมนำเคล็ดลับและเกร็ดความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้กันดูได้นะ

ตากระตุกเป็นลางบอกเหตุ พร้อมคำทำนายและต้นตอของสุขภาพที่ต้องระวัง

ตากระตุกเป็นลางบอกเหตุ พร้อมคำทำนายและต้นตอของสุขภาพที่ต้องระวัง

“ขาวร้าย ซ้ายดี” เป็นความเชื่อโบราณเกี่ยวกับอาการตากระตุก ซึ่งตามความเชื่อข้างขวามักจะเป็นรางร้าย ฉะนั้นเมื่อใครมีอาการจะต้องเกิดความวิตกกังวล เพราะอาจมีเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ แน่นอนหากมีอาการต่อเนื่องนาน ๆ จะต้องทำให้เกิดความรำคาณใจไม่น้อย แต่หากมองในเรื่องของสุขภาพอาการเช่นนี้ก็สามารถบอกได้เช่นกัน เราไปดูกันว่าทั้งในด้านของความเชื่อ คำทำนายและสุขภาพจะเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้รู้เท่าทันไม่ให้เกิดความกังวลมากเกินไปลองศึกษากันว่าเกิดจากสาเหตุใดบ้าง

ต้องรู้! อาการตากระตุกมาจากหลายสาเหตุ

ตากระตุกเกิดจากภาวะหดเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนใดกลุ่มหนึ่งบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นมุมปาก หนังตาหรือรอบ ๆ ตาข้างใดข้างหนึ่ง ทั้งนี้ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอและยังเป็นการบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับดวงตา เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุการเกิดตากระตุก ที่สำคัญหากพบว่าภายใน 1-2 สัปดาห์ยังไม่หาย ควรไปปรึกษาแพทย์ โดยยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกดังนี้ 

สาเหตุตากระตุก

  • การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อสุขภาพทำให้ตากระตุก
  • การจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ทำให้ตาแห้ง ตาล้า 
  • ความเครียด
  • โรคภูมิแพ้
  • ยาบางชนิดทำให้เกิดผลค้างเคียง
  • ขาดสารอาหารบางชนิดไป เช่น วิตามินและแร่ธาตุ
  • การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากจนเกินไป รวมไปถึงคนที่สูบบุหรี่

อาการตากระตุกแบบใดที่ต้องไปพบแพทย์

  • อย่างที่เรากล่าวไปข้างต้นว่าหากตากระตุกติดต่อกันนานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ขึ้นไป
  • ตากระตุกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมในบริเวณต่าง ๆ
  • มีอาการเจ็บ บวม แดงที่ดวงตา พร้อมกับมีของเหลวไหลออกมา
  • หนังตาหรือเปลือกตาปิดสนิททันที

ช่วงเวลามที่ตากระตุกพร้อมคำทำนาย

  • ตั้งแต่ตื่นนอนใกล้รุ่งหรือช่วงเช้า หากตาเขม่นข้างซ้าย ทำนายว่า จะมีปากเสียงทะเลาะวิวาท
  • ตั้งแต่ตื่นนอนใกล้รุ่งหรือช่วงเช้า หากตาเขม่นข้างขวา ทำนายว่า จะมีญาติจากต่างแดนมาหา
  • เวลา 09.00-12.00 หากตากระตุกข้างซ้าย ทำนายว่า จะเกิดเรื่องไม่ดีในครอบครัว
  • เวลา 09.00-12.00 หากตากระตุกข้างขวา ทำนายว่า ญาติที่อยู่ต่างแดนจะนำเอาลาภนำโชคมาให้
  • เวลา 13.00-16.00 น. หากตากระตุกข้างซ้าย ทำนายว่า จะมีเพศตรงข้ามมาหา
  • เวลา 13.00-16.00 น. หากตากระตุกข้างขวา ทำนายว่า สิ่งที่คิดไว้จะสำเร็จ
  • เวลาตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป หากตากระตุกข้างซ้าย จะมีข่าวดีในวันถัดไป 
  • เวลาตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป หากตากระตุกข้างขวา จะเรื่องไม่ดีหรือทะเลาะกับคนในครอบครัว

สาว ๆ ห้ามพลาด ผลไม้ 4 ชนิด ตัวช่วยบำรุงผิวสวยผิวพรรณดี

สาว ๆ ห้ามพลาด ผลไม้ 4 ชนิด ตัวช่วยบำรุงผิวสวยผิวพรรณดี

ผลไม้ไทยนอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยแล้ว เรื่องประโยชน์ก็มีมากไม่แพ้ผลไม้ชาติใด โดยเฉพาะในเรื่องการบำรุงให้ผิวสดใส ตอบโจทย์ได้ดีมากจนแทบไม่ต้องทานวิตามินบำรุงเลยล่ะ เราไปดูกันว่าผลไม้ชนิดไหนที่ส่งผลดีต่อสุขภาพและช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส 

1.มะเขือเทศ บางคนอาจคิดว่ามะเขือเทศคือผัก แต่ในมุมมองของนักพฤกษศาสตร์คือผลไม้ ซึ่งคนไม่นิยมทาน เพราะรสชาติและกลิ่น แต่หารู้ไหมว่าสรรพคุณที่ดีต่อผิวมีมาก โดยเฉพาะวิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระถือเป็นตัวช่วยในการผลัดเซลล์ผิว 

สูตรดูแลผิวจากผลไม้ : นำมะเขือเทศไปล้างแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปปั่นให้เป็นเนื้อละเอียด เพื่อนำไปพอกหน้า พอกทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที และล้างออก ทำแบบนี้ติดต่อกันอย่างน้อย 2-3 ครั้ง/สัปดาห์

2.สตรอว์เบอร์รี่ ต้องบอกเลยว่าผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยวิตามินซี ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ผิวสว่างสดใส แลดูมีชีวิตชีวา

สูตรดูแลผิวจากผลไม้ : เป็นสูตรที่สามารถทาก็ดี บำรุงผิวพรรณก็สวยสว่างสดใส นั้นคือการปั่นโยเกิร์ตผสมสตรอว์เบอรี่ ซึ่งก่อนที่จะนำมามาร์กหน้าจะต้องแช่เย็น เมื่อสัมผัสหน้าจะพบว่ามีความนุ่ม ยิ่งทำเป็นประจำจะทำให้หน้ากระจ่างใส เพราะในสตรอว์เบอรี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์และกรดซาลิไซลิก 

3.ส้ม แน่นอนเป็นผลไม้ที่ทุกคนทราบกันดีว่าอุดมไปด้วยวิตามินซี อีกทั้งมีเส้นใยเกลือแร่และคอลลาเจน หากนำไปทำเป็นมาส์กพอกหน้าประจำจะทำให้ผิวเต่งตึง เด้งสดใส ขาวกระจ่างมากทีเดียว

สูตรดูแลผิวจากผลไม้ : นำเปลือกส้มไปบดละเอียดผสมกับน้ำเปล่า จากนั้นนำไปพอกให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15-20 นาที หากทำประจำลดสิวได้ดีและให้ความกระจ่างใส

4.แอปเปิล ใครที่อยากให้ผิวแข็งแรงและสดใสเปล่งปลั่ง อย่าลืมนำแอปเปิลมาพอกหน้า อีกทั้งเป็นตัวช่วยดูดสิ่งสกปรกที่อยู่ในรูขุมขนออกมา พร้อมให้ความสดใส ไร้จุดด่างดำ

สูตรดูแลผิวจากผลไม้ : เนื้อแอปเปิลสดนี่แหละจะทำให้ผิวของคุณสดใส มีออร่า โดยนำเนื้อแอปเปิลพร้อมเปลือกปั่นผสมน้ำเย็น พอกหน้าประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก เท่านี้หน้าก็ดูมีสุขภาพที่ดีแล้ว

เป็นอย่างไรกันบ้าง แต่ละสูตรในการดูแลผิวจากผลไม้ 4 ชนิด ง่ายและเต็มไปด้วยประโยชน์ที่ดีต่อผิว ที่สำคัญเป็นวัตถุดิบที่หาได้ในบ้านแทบทุกหลัง เพราะมักนิยมทานเล่นระหว่างวัน จึงมีติดตู้อยู่แล้ว สามารถนำมาทำตามสูตรที่เราแนะนำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องเสียเงินซื้อครีมบำรุงผิวเพิ่มก็สามารถมีผิวกระจ่างใสแบบมีสุขภาพแล้ว

5 วิธีมีความสุขในทุกวันแบบง่าย ๆ ตอบโจทย์วัยทำงาน

5 วิธีมีความสุขในทุกวันแบบง่าย ๆ ตอบโจทย์วัยทำงาน

การมีความสุขดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงานก็ทำให้หลายคนมองข้ามที่จะมีความสุขกับสิ่งรอบ ๆ ตัว รวมทั้งสภาพแวดล้อมและสภาวะที่มีความกดดันก็ทำให้การดูแลตนเองให้มีความสุขไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับใครที่จะมีความสุขในทุก ๆ วันด้วยตัวเองในวัยทำงานตามไปดู 5 วิธีน่ารู้กันได้เลย

  1. จัดตารางชีวิตให้มีความลงตัวและสมดุล การที่มีตารางชีวิตที่ดี ไม่วุ่นวาย ทำให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเครียด ความกังวลที่จะเกิดขึ้นระหว่างวัน เนื่องจากมีการวางแผนงานมาแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่คนวัยทำงานไม่ควรพลาด
  1. ออกไปพบปะกับผู้คน เพื่อน คนรู้จักเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศ เข้าสังคมเพื่อแชร์หรือแบ่งปันเรื่องราวของกันและกัน รวมถึงแลกเปลี่ยนทัศนคติเพื่อเปิดมุมมองต่าง ๆ ให้กว้างขึ้น แม้ว่าพื้นฐานของหลาย ๆ คนจะชอบการอยู่คนเดียวแต่การเข้าสังคมก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน ช่วยลดความซึมเศร้า ความเหงาหรือความรู้สึกว้าเหว่ การได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้างจากการทำงานมาตลอดวันก็ส่งเสริมให้มีความผ่อนคลาย สบายใจมากขึ้น
  1. ให้รางวัลกับตัวเองด้วยของขวัญที่ตัวเองอยากได้ในบางโอกาสเพื่อเติมเต็มความสุขให้กับตนเอง โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นของที่มีราคาแพงหรือของที่พิเศษอะไร แต่เป็นสิ่งของที่ตนเองอยากได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถมีความสุขได้มากขึ้นแล้ว
  1. ให้กำลังใจและยินดีกับตัวเองด้วยการชมตนเอง ในเรื่องที่ตนเองทำได้ดีหรือเรื่องที่รู้สึกว่าตนเองทำได้ดีที่สุดแล้ว โดยทุกคนสามารถที่จะพูดชมตัวเองในทุก ๆ วัน กับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในที่ทำงานได้ แม้ว่าจะไม่มีใครเอ่ยชมเราก็สามารถพูดชมตัวเองได้ว่า “เก่งจังเลย” หรือ “เยี่ยม” เป็นต้น
  1. มองโลกในมุมมองที่เป็นแง่บวกมากยิ่งขึ้น ไม่มองเพียงด้านลบ ๆ เพียงอย่างเดียว ถ้าเราลองมองหาประโยชน์หรือข้อดีจากสถานการณ์ต่าง ๆ ก็จะพบว่าทุกเหตุการณ์มีข้อดีซ่อนอยู่ เราเพียงต้องนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมเท่านั้นเอง ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะเป็นสถานการณ์ที่แย่แค่ไหนก็ตาม ในช่วงแรกวิธีนี้อาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคนแต่ถ้าฝึกบ่อย ๆ จนชินก็สามารถทำได้แน่นอน

ต้องบอกว่าทั้ง 5 วิธีในการสร้างความสุขในวัยทำงานที่ได้ผลจริงทั้งการมีมุมมองบอก การชื่นชมตนเอง การให้รางวัลกับตนเอง การเข้าสังคมการจัดตารางชีวิต ดูเหมือนจะเป็นวิธีง่าย ๆ แต่หลายคนก็มักมองข้ามไป ใครที่อยากมีความสุขในทุก ๆ วันสามารถหยิบยกวิธีข้างต้นไปรับใช้ได้เลย รับรองได้ว่าดีต่อใจแน่นอน